ประวัติความเป็นมาของกุหลาบ
กุหลาบ เป็นต้นไม้ที่ได้รับความนิยมจากคนทุกยุคทุกสมัยมีประวัติความเป็นมาปรากฏให้ เห็นตั้งแต่ราว 5,000ปีที่ผ่านมาจากชนชาติสุเมเรียน(Sumerians)ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บนพื้นที่ ที่อุดมสมบูรณ์บริเวณแม่น้ำไตกริส (Tigris) และยูเฟรติส (Euphrates) หรือประเทศอิรักในปัจจุบัน เซเลียวนาร์ด วูลลีย์ (Sir Leonard Woolly)นักโบราณคดีชาวอังกฤษได้พบหลักฐานที่เกี่ยวกับดอกกุหลาบ ในสมัยนั้นโดยได้ขุดค้นหลุมศพของกษัตริย์พบน้ำที่มีกลิ่นกุหลาบนอกจากนี้ยัง พบเครื่องประดับของชาวสุเมเรียน ซึ่งมีรูปทรงเป็นดอกกุหลาบทำด้วยทองประดับอยู่หลักฐานที่ค้นพบเกี่ยวกับ กุหลาบในสมัยต่อมาอยู่ในราว 1,700 ปีก่อนคริสต์ศตวรรษ ที่เกาะครีต(Crete)ซึ่งเกาะนี้เป็นเส้นทางผ่านของการค้าขายระหว่างยุโรปกับ สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ (Nile delta) และเมืองลีแวนต์ (Levant) กษัตริย์ไมเนิน (Minoen) ที่ปกครองเกาะนี้ ได้สร้างวังไว้ที่เมืองคนอสซุส (Knossos) ทางชายฝั่งตอนเหนือของเกาะครีต หลักฐานที่เกี่ยวข้องกับดอกกุหลาบที่ปรากฏนี้ เป็นภาพเขียนบนผนังในวังที่เรียกว่า Blue Bird Fresco บนภาพเขียนนี้มีรูปกุหลาบปรากฏอยู่ แต่กุหลาบเห็นมีรูปร่างไม่เหมือนกุหลาบจริง เพราะเป็นดอกกุหลาบปิดด้วยทอง มีกลีบดอก 6 กลีบแทนที่จะมีเพียง 5 กลีบเหมือนกุหลาบทั่วไป อย่างไรก็ตาม จากการขุดค้นวังแห่งนี้ในภายหลังจึงพบว่า วังแห่งนี้ได้ถูกแผ่นดินไหวถล่มในช่วง1,450ปีก่อนคริสต์ศตวรรษมีบางส่วนของ วังถูกไฟไหม้ไป และด้วยความบังเอิญผู้ที่ทำการขุดค้นวังนี้ได้พบชิ้นส่วนของภาพฝาผนังดั้ง เดิม เป็นภาพกุหลาบมีกลีบดอก 5 กลีบอยู่ด้วยจึงเป็นที่คาดการณ์ว่าผู้ที่มาซ่อมแซมวังนี้หลังจากถูกแผ่นดิน ไหวและไฟไหม้ ได้ทำการปิดทองและเติมกลีบกุหลาบเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งกลีบ เรื่องราวของกุหลาบได้เผยแพร่จากชาวครีต (Cretans)ไปทางตอนเหนือสู่ประเทศกรีซโดยนิสัยของชาวกรีกนั้น เป็นชนชาติที่คลั่งไคล้ต่อการรบราฆ่าฟันกันมากกว่าที่จะสนใจวัฒนะธรรมในด้าน อื่นอย่างไรก็ตามในวรรณกรรมกรีก
เรื่องราวของดอกกุหลาบไว้ในนิยายปรับปรา ซึ่งเขียนโดยโฮเมอร์ (Homer) นิยายเรื่องนี้กล่าวถึง เฮคเตอร์(Hector) ตัวละครตัวหนึ่งซึ่งถูกฆ่าโดยอคิลลิส (Achilles) ระหว่างการล้อมเมืองทรอย (Troy) ในปี 1,206 ก่อนคริสตกาล ในวรรณกรรมนี้ได้บรรยายถึงเกราะของเฮคเตอร์ที่ประดับประดาด้วยลวดลายของดอก กุหลาบ นอกจากนี้โฮเมอร์ยังได้ผูกเรื่องต่อไปว่าเทพธิดาอโฟรไดต์(Aphrodite)ได้เข้า มาในตอนกลางคืน เพือชโลมศพของเฮคเตอร์ด้วยน้ำมันกุหลาบก่อนที่จะนำร่างของเขาไปอาบน้ำยา รักษาศพ ในสมัยของฮีโรโดตัส(Herodotus) ในช่วง 485-425 ปีก่อนคริสตกาลกุหลาบเป็นที่ยอมรับ และเป็นที่นิยมชมชอบของชาวกรีกในระหว่างการเดินทางของฮีโรโดตัส เขาได้เข้าชมสวนของไมดาส (Midas) กษัตริย์แห่งฟรีเจียนส์ (Phrygians) ซึ่งถูกขับไล่ออกจากบัลลังก์และเนรเทศ ไปที่มาเซโดเนีย(Macedonia) ซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือของกรีซ เมื่อตอนถูกเนรเทศจากฟรีเจียนส์ ไมดาสได้นำเอาดอกกุหลาบดอกซ้อนที่มีกลีบดอกถึง 60 กลีบติดไปปลูกยังสวนของเขาด้วย กุหลาบที่เขานำไปปลูกนี้เป็นกุหลาบ Rosa gallica ชนิดดอกซ้อนและกุหลาบ Autumn Damask Rose เรื่องราวของต้นกุหลาบและการปลูกนั้นได้ถูกบันทึกโดยธีโอฟรัสตัส (Thephrastus) นักปราชญ์ชาวกรีก เมื่อ 372-286 ปีก่อนคริสตกาล ในหนังสือชื่อ "Historia plantarum" ธีโอฟรัสตัสได้กล่าวไว้ว่า กุหลาบและลิลี่สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการตัดชำ ในหนังสือของเขาอีกเล่มหนึ่ง คือ "Decausis plantarum" ได้อธิบายถึงวิธีการติดตากุหลาบโดยการยารอยติดตาไว้ด้วยโคลนและดินเหนียวมา ถึงยุคสมัยใหม่ (Modern Rose) ก็คงต้องกล่าวถึงโจเซฟิน (Josephine) ราชินีของกษัตริย์นโปเลียนที่ 1 แห่งฝรั่งเศส ผู้ทุ่มเทเงินทองและกำลังคน เพื่อเก็บรวบรวมพันธุ์กุหลาบชนิดต่างๆ ตลอดจนลูกผสมกุหลาบพันธุ์ต่างๆตั้งแต่ปี ค.ศ. 1804 โดยใช้เวลารวบรวมพันธุ์กุหลาบถึง 10 ปีและปลูกไว้ที่มาเลซอง (Malmasion) ได้กุหลาบที่ต่างพันธุ์กันถึง 250 พันธุ์ ชื่อเสียงของสวนกุหลาบของโจเซฟินนั้นเป็นที่รู้จักของนานาชาติ ในสมัยสงครามระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสในช่วงนั้น ชาวอังกฤษที่จับเชลยศึกได้ ได้ค้นพบต้นกุหลาบที่เชลยเหล่านี้จะนำไปปลูกที่มาเลซองด้วย หลังจากที่สงครามสงบลงในปี ค.ศ.1815ทางการอังกฤษจึงได้สั่งการให้รักษาสวนแห่งนี้ไว้อย่างดี พระนางโจเซฟินมิได้เพียงคลั่งไคล้ต้นกุหลาบที่ปลูกไว้ แต่ยังได้ให้จิตรกรวาดภาพสวนกุหลาบของพระองค์ วาดภาพกุหลาบพันธุ์ต่างๆ ที่ได้รวบรวมไว้ในสวนที่มาเลซองหนึ่งในจิตรกรที่วาดภาพกุหลาบนี้ได้แก่ ปิแอร์ โจเซฟ เรอดูเต้ (Pierre Roseph Redoute) ภาพของเขาเป็นภาพสีของกุหลาบ ในสวนของโจเซฟิน ซึ่งต่อมาภาพชุดนี้ได้ถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือถึง 3 ชุด ชื่อว่า "กุหลาบ" (Les Rose) ภาพวาดที่ถูกตีพิมพ์นี้ได้มีการเติมชื่อทางพฤกษศาสตร์ไว้ด้วยโดยโธรี่ (Thory)
กุหลาบ พันธุ์ต่างๆ ในสวนของโจเซฟินนี้เป็นบรรพบุรุษของกุหลาบในยุคปัจจุบัน มีอยู่ประมาณ 250 พันธุ์ มากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นกุหลาบที่เรียกว่า 'Gallica' ซึ่งเป็นลูกผสมของRosa gallica หรือเป็นที่รู้จักกันว่ากุหลาบฝรั่งเศส (French Rose) กุหลาบชนิดนี้ขึ้นอยู่ทั่วไปทางยุโรปตะวันตกและเอเชียตะวันตกมีสีแดงอ่อนไป จนแดงเข้ม สีชมพู สีขาวและลายด่างที่ดอกกุหลาบชนิดนี้ทนอุณหภูมิต่ำได้ดีมากมีการเจริญเติบโต ที่แข็งแรงทั้งมีแนวโน้มที่จะกลายพันธุ์หรือผสมกับกุหลาบพันธุ์อื่นๆ ได้ง่ายเป็นกุหลาบชนิดหนึ่งที่มีชื่อเสียงในสมัยของสวนมาลเมซองแต่มักจะออก ดอกเพียงปีละครั้งเท่านั้นเอง หนึ่งในแปดของสวนมาลเมซองนั้นมีกุหลาบชนิด Rosa centifolia ซึ่งมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า 'Cabbage Rose' เป็นกุหลาบที่มีกลีบดอกมาก คือ มีมากกว่า 100 กลีบในหนึ่งดอก กุหลาบชนิดนี้จึงมีดอกซ้อนกันแน่นจนดอกไม่สามารถบานออกได้หมด ดอกมีสีขาวและสีชมพู ออกดอกปีละครั้งเช่นกัน กุหลาบอีกชนิดหนึ่งที่สำคัญของโจเซฟิน คือ Damark Rose ซึ่งมีเพียง 9 พันธ์ กุหลาบ Damark Rose นี้ มีความสำคัญตรงที่ว่า บางพันธ์จะออกดอกมากกว่าปีละครั้ง กุหลาบ Damark Rose มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Rosa damacena พบครั้งแรกในอียิปต์ แต่ไม่ได้มีถิ่นกำเนิดที่นี่ ช่อกุหลาบนี้ได้มาจากเมืองดามาคัส (Damascus) ในซีเรีย สันนิษฐานว่านำมาจากตะวันตกของเอเชีย โดยพ่อค้าชาวฟีนีเชี่ยน (Phoenician) หรือพวกชาวอาณานิคมของกรีก ชาวโรมันรู้จักในนาม Rose of Paestum หรือ Rose of Cyrine หรือ Rose of Carthage รูปทรงดอกของRose damascena คล้ายกับภาพเขียนฝาผนังในเมืองปอมเปอี (Pompeii) มิชชันนารีชาวอังกฤษได้นำเอากุหลาบชนิดนี้ไปปลูกในอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ Rose of Castile ดอกกุหลาบ Damark มีกลิ่นหอมจึงนิยมนำมาใช้ในการผลิตน้ำหอมในช่วงเดียวกับที่โจเซฟินได้ทำการ เก็บรวบรวมพันธ์กุหลาบต่างๆนั้น ชาวอังกฤษชาวดัตช์ ก็เริ่มหันมาสนใจพืชสวนชนิดใหม่ๆ จากฝั่งตะวันออกทำให้บริษัทต่างๆของทั้งสามประเทศนี้ได้ออกสำรวจพืชพันธุ์ ใหม่ๆ ในอินเดียและในประเทศจีนร่วมไปกับการสำรวจชนิดและพันธุ์ของกุหลาบทางซีกโลก ตะวันออก พบว่ากุหลาบทางตะวันออกแตกต่างกับกุหลาบทางยุโรปจึงได้มีการนำกุหลาบเหล่า นี้มาเก็บสะสมไว้ในสวนพฤกษศาสตร์ในยุโรป ในสวนกุหลาบของโจเซฟินมีกุหลาบจีนที่เรียกว่า กุหลาบ 'Chinas' อยู่ 22 พันธุ์ กุหลาบจีนนี้มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Rosa chinensis ซึ่งกุหลาบ 'Chinas' หรือกุหลาบจีนที่นำมาจากทางตะวันออกเข้าสู่ยุโรปตะวันตกในช่วงปี 1780 กุหลาบจีนเป็นที่นิยมเพราะออกดอกตลอดเวลา มีอยู่สองพันธุ์ที่เป็นที่รู้จักดีคือ Old Blush และ Old Crimson China ซึ่งทั้งสองพันธุ์นี้เป็นกุหลาบจีนซึ่งถูกคัดเลือกพันธุ์โดยนักพืชสวนชาวจีน มานาน นับศตวรรษ จนได้พันธุ์ที่มีดอกซ้อนสวยงาม มีการออกดอกต่อเนื่องแต่ไม่ทนอากาศเย็นเท่ากับกุหลาบพวกDamark และ Gallica หลังจากสมัยของโจเซฟิน
หลาย ทศวรรษพันธุ์กุหลาบพันธ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นโดยการผสมกันเองตามธรรมชาติของกุหลาบพันธุ์ใหม่ๆ ในช่วงนี้จึงเป็นลูกผสมที่มีความแปรปรวนทางพันธุกรรมซึ่งเกิดการปลูกขยาย พันธุ์ต้นกุหลาบโดยการเพาะเมล็ด จะมีความแปรปรวนต่างไปจากต้นพ่อต้นแม่มาก เนื่องจากมีการปลูกกุหลาบสองชนิดกัน เช่น ปลูกกุหลาบ Gallica ติดกับกุหลาบ Damark เมล็ดที่ได้อาจเกิดจากเกสรของดอกต้นใกล้เคียงกัน จึงเกิดลูกผสมพันธุ์ใหม่ขึ้นมา ขณะเดียวกัน ต้นกุหลาบจีนพันธ์ใหม่ๆ จากทางตะวันออก ได้ถูกนำเข้ามาปลูกมากมาย จึงเกิดลูกผสมระหว่างกุหลาบยุโรป กุหลาบจีน และกุหลาบจากอินเดียทำให้เกิดกุหลาบพันธุ์ลูกผสมขึ้น และลูกผสมที่เกิดจากการเพาะเมล็ดก็มีจำนวนมากขึ้นทุกปี ทำให้เกิดการพัฒนากุหลาบพันธุ์ใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว จนเกิดกุหลาบ Hybrid Tea ขึ้นในศตวรรษที่ 20นี้แม้กุหลาบจะเป็นไม้ดอกที่ปลูกในเมืองไทยมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ก็ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าใครเป็นผู้นำกุหลาบเข้ามาปลูกตั้งแต่เมื่อไรที่ แน่ๆ ก็คือกุหลาบเป็นที่สนใจและปลูกกันอย่างแพร่หลายในสมัยของพระบาทสมเด็จจุล จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การปลูกกุหลาบสมัยนั้นเป็นการปลูกเพื่อใช้ประดับบ้านเรือน เพื่อเป็นงานอดิเรก โดยมักจะปลูกอยู่ในวงของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ พันธ์กุหลาบที่ปลูกในสมัยนั้นมีอยู่เพียงไม่กี่พันธุ์ กุหลาบพันธุ์ต่างๆ เหล่านี้ถูกตั้งแต่ชื่อเป็นภาษาไทย เช่น พันธุ์จุฬาลงกรณ์ พันธุ์เหลืองเรณู พันธุ์เหลืองเชียงใหม่ เป็นต้น ปัจจุบันกุหลาบพันธุ์ต่างๆ เหล่านี้คงหาได้ยากหรืออาจจะสูญพันธุ์ไปแล้ว เนื่องจากมีพันธุ์กุหลาบพันธุ์ใหม่ๆ ที่มีความสวยงามกว่าเข้ามาแทนที่ ทำให้พันธุ์เก่าๆ เสื่อมความนิยมลง
สำหรับประเทศไทย พันธุ์กุหลาบที่ใช้ปลูกเป็นไม้มงคล
1. พันธุ์สีขาว ได้แก่ - Misty Morn - Blanche Mallerine - White Christmas
2. พันธุ์ดอกสีเหลือง ได้แก่ - King's Ransom - Golden Master Piece
3. พันธุ์ดอกสีแดง ได้แก่ - Christian Dior - Swarthmore - Scarlet Knight
4. พันธุ์ดอกสีชมพู ได้แก่ - Bel Ange - Queen Elizabeth
5. พันธุ์ดอกสีแสด ได้แก่ - Super Star - Tanya
6. พันธุ์ดอกสีม่วง ได้แก่ - Blue Moon
ลักษณะ ทั่วไปกุหลาบเป็นพันธุ์ไม้ยืนต้น เป็นพุ่มขนาดเล็ก ลำต้นมีความยาวประมาณ 30-200 เซนติเมตร ลำต้นเตี้ยและสูง มีหนามหรือไม่มี แล้วแต่ชนิดพันธุ์ลำต้นสีเขียวเมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาล แตกกิ่งก้านมารอบต้นใบเป็นใบรวมแตกออกจากกิ่งก้านก้านใบจะมีหูใบติด อยู่ด้วยลักษณะใบโคนใบมนปลายใบแหลมขอบใบมีหยักเล็กน้อย ตัวใบนิ่มมีสีเขียวใบจะออกจากก้านใบเป็นคู่ขนาดความกว้างของ ใบประมาณ 2- 4 เซนติเมตรยาวประมาณ3 - 5เซนติเมตรดอกเป็นดอกเดี่ยวมีก้านดอกยาวแตกออกจากปลายกิ่งหรือง่ามใบที่กิ่ง ลักษณะดอกเป็นกลีบเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆประมาณ 4-6 ชั้นดอกมีกลีบ 5-15 กลีบขอบดอกเรียบตรงกลางดอกมีเกสรตัวผู้และตัวเมีย อยู่รวมกันดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ดอกบานมี ความกว้างประมาณ 2-6 เซนติเมตร ลักษณะของลำต้นใบดอกแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์
การ เป็นมงคลคนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นกุหลาบไว้ประจำบ้านจะทำให้คนในบ้าน มีคุณค่าแห่งชีวิตที่สูงเพราะกุหลาบได้รับการยกย่อง ให้เป็นราชินีแห่งอุทยาน (Queen of the Garden) เนื่องจากดอกมีรูปร่างสีสรรที่สวยงาม นอกจากนี้คนไทยโบราณยังเชื่ออีกว่าบ้านใดปลูกต้นกุหลาบไว้ประจำบ้าน จะทำให้เกิดความสง่าภาคภูมิ เพราะกุหลาบดอกใหญ่ขณะชูช่อบานนั้นดูโดดเด่นเห็นเป็นสง่าแก่บุคคลทั่วไป ตำแหน่งที่ปลูก และผู้ปลูกเพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัยควรปลูกต้นกุหลาบไว้ทางทิศ ตะวันออก ผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาประโยชน์ทางดอกให้ปลูกในวันพุธ นอกจากนี้ถ้าจะให้เป็นสิริมงคลแก่ตนเองผู้ปลูกควรเป็นสุภาพสตรี เพราะกุหลาบเป็นราชินีแห่งอุทยานดังนั้นชื่อจึงเหมาะสมอย่างยิ่งกับสุภาพ สตรีทั้งหลาย
Pasted from <http://iam.hunsa.com/kathleen/article/13755>